Paramore ให้สัมภาษณ์เกี่ยวกับการเป็นวงไร้สังกัด เพลงใหม่ แผ่นเสียง RSD การร่วมงานกับ David Byrne และอนาคตของวง
แปลไทยบทสัมภาษณ์จากบทสัมภาษณ์โดย Brooklyn Vegan โดย Andrew Sacher
เมื่อไม่นานมานี้ ทางวงประกาศเป็นอิสระ หลังจากช่วงเวลาในวงการยาวนานภายใต้ Atlantic และ Fueled By Ramen คุณรู้สึกอย่างไรต่อเรื่องนี้ และความหมายของการเป็นวงไร้สังกัดคุณคืออะไร?
HAYLEY WILLIAMS: มันรู้สึกโล่งอกอย่างมาก ที่เราได้ทำสิ่งที่ไม่แน่ใจสมัยเรายังเด็กๆว่าเราจะทำได้สำเร็จมั้ย มันรู้สึกเหมือนความสำเร็จที่ไม่ใช่ว่าทุกวงดนตรี โดยเฉพาะวงในอายุไล่ๆกับเรา … พวกเขามักจะไม่มีโอกาสได้แบบนี้มากนัก ดังนั้นเรารู้สึกโชคดีมากๆ เราคิดเสมอว่ามันไม่มีข้อจำกัดจริงๆ เราสามารถทำต่อไปได้ตลอดเวลาตามที่เราต้องการ หรือเราสามารถวางทุกอย่างแล้วหายตัวไปได้ เราพยายามจะคิดแบบนั้นเสมออย่างนั้น — ว่านี่คือความหลงใหล เราพยายามที่จะไม่คิดว่ามันเป็นอาชีพหรืองานที่เราต้องทำ — เราคิดว่าสิ่งที่น่าสนใจตอนนี้คือ มันไม่มีกำหนดหมายจริงๆ ไม่มีอะไรเลยอยู่ข้างหน้าเรานอกจากอากาศที่ปลอดโปร่ง และมันรู้สึกดีและน่าท่วมท้นใจในเวลาเดียวกัน นั่นคือเรื่องใหญ่เลยสำหรับเรา
คุณวางแผนที่จะปล่อยเพลงของคุณเอง หรือเริ่มต้นเปิดค่ายเพลงเอง หรือมองหาค่ายอิสระหรือไม่?
ZAC FARRO: มันรู้สึกดีที่จะใช้เวลาและหาค่อยๆคิด ผมคิดว่าเราทุกคนกำลังมีความสุขกับความเงียบสงบอยู่ตอนนี้ และมีเวลาให้กับที่บ้านกับครอบครัว และเพื่อนของเรา ดังนั้นผมคิดว่าเมื่อเรามีความคิดที่ชัดเจนขึ้นเล็กน้อยเกี่ยวกับสิ่งที่เราต้องการทำ เราจะตัดสินใจแน่ตอนนั้น แต่ตอนนี้มันรู้สึกดีที่จะได้พักผ่อนและมีเรื่องสนุกๆหรือตื่นเต้นเล็กๆที่กำลังจะเกิดขึ้น รวมถึงการทัวร์ยาวนาน [ยุโรป/สหราชอาณาจักร] กับเทย์ลอร์ สวิฟต์
เรามีเรื่องราวเพียงพอที่ทำให้เรารู้สึกพอใจ เรายังไม่มีคำตอบ และผมคิดว่ามันน่าสนใจที่เรายังไม่มีมัน เพราะก่อนหน้านี้เรามักจะมีสิ่งที่วางแผนไว้เสมอ เราไม่เคยรับรู้ความรู้สึกแบบนี้ตั้งแต่เราเริ่มทำวงดนตรีแรกๆ เทย์ลอร์กับผมคุยกันเมื่อวันก่อน เมื่อตอนที่เราได้รับรางวัลแกรมมี่ เราคุยกันว่า “นี่คือสิ่งที่แปลกมากที่ หนึ่ง เราได้รับรางวัลและ สอง เราเติบโตขึ้นมากับวงดนตรีที่เริ่มในหลังคาบ้านของเรา” เราเริ่มต้นจากห้องใต้ดินของเรา โรงรถของเราจริงๆ และห้องนอนสมัยเด็กๆ และเรายังเป็นเพื่อนกันอยู่ทุกวันนี้ ที่เรายังคงทำเพลงด้วยกันอยู่เป็นสิ่งที่น่าเหลือเชื่อ แต่ที่เรายังเป็นเพื่อนสนิทกันอยู่เป็นสิ่งที่เจ๋งที่สุดสำหรับผม วงการนี้ทำให้คุณเครียดมากๆเป็นบางครั้ง — ด้านวงการดนตรีไม่ใช่ตัวเพลงนะ มันทำให้คุณต้องการจะรีบและแก้ไขสิ่งต่างๆ แต่คุณรู้ไหม อะไรจะเกิดก็ต้องเกิด ดังนั้นเราก็แค่ผ่อนคลายไป ดีที่สุด
การปรากฏตัวในแวดวงพังก์ แน่นอนว่าคุณเซ็นสัญญากับค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ตั้งแต่เนิ่นๆ มันเป็นสิ่งที่คุณเคยลังเลหรือเปล่า?
HW: โอ้ ใช่ เรายังเด็กมากๆตอนนั้น แน่นอนว่า เราได้รับความเกลียดชังเท่าที่คุณจะจินตนาการได้
บน AbsolutePunk.net (ปัจจุบัน chorus.fm) — เว็บบอร์ดพวกนั้นพูดถึง Paramore มากในช่วงแรกๆ เพราะว่าเราเป็นเรื่องใหม่ที่แตกต่างจากวงอื่นๆ และฉันคิดว่าหลายคนคิดว่า เราจะกลายเป็นเหมือนวงดนตรีอื่นๆ เพราะในตอนนั้น ฮีโร่ของเราจนถึงทุกวันนี้ วงดนตรีโปรดของฉันคือ mewithoutYou ไม่ใช่ว่าเราออกมาตรงนี้โดยคิดว่าเราจะขโมยซีนแต่อย่างใด เรามีความหวังและความฝันที่แสนหวานและไร้เดียงสาจริงๆ และเมื่อเราเริ่มได้รับความสนใจ… ฉันไม่รู้ว่าควรจะมีหนังสือออกมาไหมนะ หรือสักวันหนึ่งมันจะออกในรูปแบบสารคดี แต่เรื่องราวที่ว่า เรา/ฉันได้เซ็นสัญญามันน่าหงุดหงิดมากเพราะเรายังเด็กและ สมัยนั้นมันไม่ค่อยมีคนมาคอยสอนหรือเตือนหรอก และคุณมีพ่อแม่ที่ไม่รู้จักด้านวงการนี้ดีนัก โดยเฉพาะพ่อแม่ของฉัน พ่อของเทย์เลอร์อยู่ในวงการ แต่มันก็ยาก
ฉันมักจะรู้อยู่เสมอว่ามีสิ่งที่ไม่ได้พูดออกไป ผู้คนมักจะตั้งคำถามว่าเราเป็นวงดนตรีจริงหรือไม่ ผู้คนคิดว่าเราไม่ใช่พังค์หรืออีโมเท่ากับวงนี้ที่เราเล่นเปิดให้ และนั่นเป็นเรื่องยาก พูดตามตรงเลย มันเป็นความรู้สึกแย่ๆ ที่ต้องเกิดขึ้นในซีนนี้โดยรู้ว่าเราถูกมองเป็นคนนอกรีตในแบบนั้น แต่ฉันคิดว่าสิ่งที่ยอดเยี่ยมก็คือความตั้งใจทั้งหมดของวงดนตรีและที่มาของเรานั้นค่อนข้างเรียบง่าย ฉันคิดว่า Atlantic มักจะสับสนกับความทะเยอทะยานความต้องการของเราอยู่เสมอ เพราะเราชอบแต่งเพลงที่มีกลิ่นอายของเพลงป็อป แต่สิ่งแรกและสำคัญที่สุดก็คือวงของเรารักวงอินดี้และวงพังค์ และนั่นคือหัวใจของเรานะรู้ไหม? เป็นเรื่องดีที่ตอนนี้มันไม่จำเป็นต้องมีเครื่องหมายคำถามสำหรับใครอีกต่อไป เราใช้เวลา 20 ปี แต่ตอนนี้เมื่อมีคนพูดอะไรบางอย่างเกี่ยวกับเราที่ฟังดูเป็นแนวใดแนวหนึ่ง ไม่ว่าจะเป็นแนวอินดี้ หรือแนวป็อปพังค์ ซึ่งฉันโคตรไม่เข้าใจ — หรืออีโม อะไรก็ตาม ฉันคิดว่ามันเจ๋งดีที่ด้านธุรกิจที่ผู้คนสนใจมากๆ จะไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของการสนทนาแล้ว ฉันรู้สึกโล่งใจมากเกี่ยวกับเรื่องนั้น
วงของพวกคุณเกิดมาในช่วงเวลาที่ ผู้คนส่วนใหญ่สนใจวงการนี้ และตอนนี้มันแตกต่างออกไปจากตอนนั้นมาก วงดนตรีพังก์หรืออีโมที่เซ็นสัญญากับค่ายใหญ่แทบจะไม่มีให้เห็นอีกแล้ว คุณคิดยังไงกับค่ายเพลง ว่าเค้าจะทำอะไรให้วงดนตรีในสมัยนั้น ถ้าเทียบกับวงดนตรีในปัจจุบัน และคุณรู้สึกยังไงในฐานะวงไร้สังกัดในวันนี้ เมื่อเทียบกับวงใน 20 ปีที่แล้ว
HW: ฉันคิดว่าศิลปินหน้าใหม่ทุกคนที่เริ่มต้นจะมีงานหนักมากที่จะต้องทำ เพราะค่ายเพลงคาดหวังให้คุณเป็นกลไกทางการตลาดของคุณเองผ่านโซเชียลมีเดีย ฉันเข้าใจศิลปินรุ่นใหม่ที่กำลังพยายามเรียนรู้วิธีที่จะอยู่ในธุรกิจและนำเพลงของพวกเขาออกสู่โลก ซึ่งเป็นสิ่งที่น่ากลัวอยู่แล้ว และยังต้องเรียนรู้วิธีที่ไม่เพียงแต่สร้างเนื้อหาเท่านั้น แต่ยังรวมถึงกลยุทธ์ทั้งหมดด้วย
ฉันรู้สึกว่าเรามีจุดกึ่งกลางที่ดีที่โซเชียลมีเดียเป็นที่นิยม มันเริ่มเกิดขึ้นพร้อมๆกับวงของเรา และเรายังเป็นเด็กและสนใจในสิ่งใหม่และเป็นที่นิยมในตอนนั้น โอ้ LiveJournal ตอนนั้นก็เป็นที่นิยมมาก ตอนนั้นมันเป็นชุมชนออนไลน์ของเราอยุ่ระยะหนึ่ง แล้วก็ โอ้ Myspace ก็เหมือนกัน และ PureVolume… ตอนนั้นเรารู้สึกปกติมาก แต่ตอนนี้สมการก็คือ เหมือนกับการต่อสู้ นั่นคือส่วนที่ฉันคิดว่า มันไม่สำคัญเลยว่าคุณจะอยู่กับค่ายเพลง หรือหากคุณเป็นศิลปินหน้าใหม่ที่ไม่มีใครเคยได้ยินมาก่อน การต่อสู้นั้นเหมือนกัน คือสู้เพื่อให้เพลงของคุณเป็นที่ได้ยิน
ฉันคิดว่าท้ายที่สุดแล้ว เราทุกคนก็รู้ว่าเงินคือเรื่องใหญ่ เช่น ทางค่ายจะยอมอัดเม็ดเงินให้คุณเท่าไหร่ และความสนใจของพวกเขาจะคงอยู่นานแค่ไหนหากคุณไม่มีประสิทธิภาพ หรือทำเป้าถึงตัวเลขที่เค้ากำหนด? ฉันรู้สึกโชคดีมากที่ Paramore มีเวลา 20 ปีในการมีประสบการณ์ขึ้นๆ ลงๆ ของกลยุทธ์การตลาดและมาตรฐานอุตสาหกรรมทุกประเภท และเราได้ก้าวไปพร้อมๆ กัน — ชัยชนะมากมายและสิ่งต่างๆ มากมายที่ล้มเหลว แต่ตอนนี้เราอาจจะอยู่ได้ด้วยตัวเองอีกสักหน่อย เราไม่รู้จริงๆ ว่าเราจะลงจอดที่ไหน ฉันคิดว่ามันช่วยให้เรากำหนดได้ว่าคำถามของเราจะเป็นอย่างไร กับค่ายเพลงหรือใครก็ตามที่ต้องการ จะเดตกับวงของเราเพื่อดูว่าเราคือวงที่ใช่หรือไม่ หรือเพื่อให้เรารู้ว่าพวกเขาคือคนที่ใช่หรือไม่เช่นกัน
ค่ายเพลงทรงพลังมากในแง่หนึ่ง แต่ในขณะเดียวกัน เพราะเรามีความสัมพันธ์ที่แน่นแฟ้นกับผู้คนแฟนเพลงที่สนับสนุนวงดนตรีของเรา และเรามีสิ่งนั้นมาเป็นเวลานานแล้ว ฉันคิดว่าเรา โชคดี เพราะเราไม่ยึดติดกับอำนาจที่ค่ายเพลงอาจจะหรืออาจจะไม่มีก็ได้
ZF: เราโตมากับความคิดที่ว่า “โอ้ พวกเขาอยู่กับค่ายนี้ มันเจ๋งมาก!” ตอนนี้มันเหมือนกับว่า “โอ้ คุณอยู่กับค่ายนั้นเหรอ? เป็นยังไงบ้าง? พวกเขาเป็นยังไงบ้าง?”
ผมคิดว่าสิ่งที่เจ๋งมากในช่วงสองสามเดือนแรกของการเป็นวงไร้สังกัดก็คือ แน่นอนว่า This Is Why อยู่ภายใต้ค่าย Atlantic แต่ได้ Grammy สองรางวัล และต่อมาเราก็เป็นศิลปินตัวแทนของงาน Record Store Day… มันเหมือนกับว่าสิ่งที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้ [กำลังเกิดขึ้น] โดยเฉพาะอย่างยิ่ง Record Store Day สำหรับเรา เพราะดนตรีที่จับต้องได้นั้น… นั่นคือยุคของเรา ไม่ใช่แค่แผ่นเสียงเท่านั้น ผมหมายถึงว่าเราไม่ได้สนใจแผ่นเสียงมากนักสมัยโตมา แต่มาเป็นในช่วงหลังๆนี้ แต่รวมถึงซีดีและเทปด้วย นั่นคือโลกที่เราเติบโตมา เป็นเรื่องดีจริงๆ ที่เราก้าวเข้าสู่ยุคใหม่นี้พร้อมกับการรับรู้ทุกอย่างทั้งหมดนี้ เราภาคภูมิใจกับสิ่งนี้มาก และเรารู้สึกขอบคุณจริงๆ
งั้นขอถามถึงการเป็นตัวแทนของงาน Record Store Day ในปีนี้เป็นอย่างไร และคุณมีความสนใจยังไงเกี่ยวกับโอกาสนี้
HW: เราสนิทกับผู้จัดการวงของเรามาก จริงๆแล้วเรานับเขาเป็นสมาชิกคนที่สี่ในวงของเรา เขาจัดการพวกเราตั้งแต่ช่วงแรกๆ ที่ค่ายเพลงล้มเหลว ที่ผู้คนพยายามเซ็นสัญญากับฉัน และฉันมักจะพูดว่า “แต่ แล้ววงดนตรีล่ะ? แล้วความจริงที่ว่าครึ่งหนึ่งของเพลงพวกนี้เป็นของ Paramore ล่ะ?” ฉันคิดว่าเขาเข้ามาในฐานะผู้สนับสนุนวงดนตรี เขาเป็นผู้สนับสนุน Paramore คนแรก เขาคือคนที่เราแสดงเพลงทั้งหมดของเรา เขานำโอกาสเหล่านี้มาให้เรา และเขารู้ว่าเมื่อไหร่ ควรนำสิ่งไหนมาให้เรา และเมื่อไหร่ไม่ควร และนี่คือสิ่งที่เขาตื่นเต้นมาก และเมื่อเขาบอกเรา เราทุกคนก็ตื่นเต้นมากเช่นกัน เพราะอย่างที่ Zac พูด นี่เป็นวิธีที่สำคัญมากในการเชื่อมต่อกับโลกแห่งดนตรี
ฉันจะไปที่ร้าน Grimey’s และ Grimey ก็จะอยู่ที่นั่น และเขาก็คงจะประมาณว่า “คุณเคยฟังเพลงนี้ไหม? นี่คือใบปลิวสำหรับโชว์นี้ แผ่นรวมเพลงนี้ฟรี” โดยมีเพลงของ Brand New สองเพลงก่อนที่วง Your Favorite Weapon จะออก หรืออะไรก็ตามแต่
สำหรับเราในตอนนั้นมันเป็นแผ่นซีดีมากกว่าเพราะว่าเราเข้าถึงซีดีได้ง่ายกว่า แต่ฉันจำได้ว่าแผ่นไวนิลแผ่นแรกที่ฉันซื้อที่ Grimey’s คือ Full Collapse ของวง Thursday แผ่นไวนิลสีขาว แต่คนจำนวนมากที่เข้ามาฟังวงดนตรีของเรา ตอนนี้ก็ไม่จำเป็นต้องซื้อแผ่นเสียงแล้ว มันเลยตื่นเต้นที่เราจะสามารถโปรโมตไอเดียง่ายๆ แบบนั้นได้ เช่น ถ้าคุณเบื่อ บางทีก็แค่ขับรถไปร้านแผ่นเสียงเจ๋งๆ สักแห่ง คุณไม่จำเป็นต้องซื้ออะไรเลย เหมือนที่ฉันเคยไปถามพนักงานที่ร้านว่าพวกเขากำลังฟังอะไรอยู่ ถ้าตอนนั้นฉันไม่มีเงินซื้อแผ่น
ZF: เครื่องเล่นแผ่นเสียงเจ๋งๆ ก็น่าสนใจเหมือนกัน ทุกอย่างเกี่ยวกับมันมีความพิเศษ ผมคิดว่าอีกอย่างที่เราทุกคนรักและผมชอบเป็นการส่วนตัวก็คือ [แผ่นเสียง] เป็นที่เดียวที่คุณฟังเพลงโดยไม่ข้ามเพลง คุณใส่มันแล้วปล่อยทิ้งไว้ และนั่นคือวิธีที่ที่ถูกต้องในการฟังเพลง โดยถือเป็นงานศิลปะเต็มรูปแบบ โดยเฉพาะอย่างยิ่งแผ่นเสียง และผมคิดว่ารุ่นของเรามันบ้าไปแล้ว พี่น้องสองคนของผมก็มักจะ… ผมเรียกน้องชายของผมว่า DJ Skip เพราะเขาจะฟังเพลงหนึ่งเพลงเป็นเวลา 10 วินาทีแล้วข้ามไป และผมก็แบบว่า มันบ้าไปแล้ว [เราห่างกันเพียงสามปี แต่] เราเติบโตขึ้นมาแตกต่างกันมาก และบางทีผมก็ยังทำแบบนั้นอยู่เหมือนกัน แต่ช่างเป็นสิ่งสวยงามจริงๆ ที่ทำให้ผู้คนให้ความสนใจกับงานศิลปะตามที่มันควรจะเป็น และสามารถถือมันไว้ได้ ไม่ใช่แค่เดินไปรอบๆ บนโทรศัพท์ของคุณ และมันเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งที่ยิ่งใหญ่ที่คนอื่นๆเองก็มี มันจะกลายเป็นตัวตนของคุณ มันเป็นตัวคุณจริงๆ
ผมคิดว่ามีสิ่งพิเศษมากมายเกี่ยวกับแผ่นเสียง แต่นั่นเป็นบางสิ่งที่ดึงดูดใจเราให้เป็นส่วนหนึ่งของมัน ผมคิดว่าโดยเฉพาะอย่างยิ่งในอนาคต สิ่งที่เราต้องการจะปลูกฝังและรักษาไว้ใกล้กับเราอยู่เสมอคือการโปรโมตร้านขายแผ่นเสียงและนำแผ่นเสียงของเราออกไปปล่อยผ่านร้านเหล่านั้น…
HW: และเฉพาะแค่เรื่องการให้ความสนใจ ความสนใจของเราแบ่งออกเป็นกว่า 100 เรื่องตลอดทั้งวัน ทุกวัน ดังนั้น ไม่ว่าเราจะทำอะไร ไม่ว่าเราจะออกเพลงหรือจะส่งเสริมแนวคิดในการบริโภคมัน [เรา] ก็ส่งเสริมแนวคิดของการให้ความสนใจกับมันเช่นกัน เช่น ถ้าคุณอยากทำความรู้จักวงดนตรี หรือเพลง หรืออะไรก็ตาม อยากเข้าไปมีส่วนร่วมจริงๆ ฉันชอบความรู้สึกที่ได้พลิกดูแผ่นซีดีหรืออัลบั้มต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นแผ่นเสียงหรือไม่ และดูว่าใครเล่นในวงบ้าง ไม่ว่าจะเป็นวงดนตรีหรือเป็นศิลปินเก่าๆ ที่คุณไม่ค่อยรู้จักมากนัก และ เห็นผู้เล่น ผู้มีส่วนร่วมทุกคน และจริงๆ ตอนนี้ฉันต้องคำนับน้อยๆกับ Apple Music ในการพูดถึง Record Store Day เพราะฉันชอบฟังก์ชัน “ดูเครดิต” ใหม่มาก มันเจ๋งจริงๆ; ไม่รู้ว่ามาทุกอัลบั้มหรือเปล่าแต่ดูเหมือนว่าจะแบบนั้น เพราะฉันเช็คตลอด ฉันคิดว่านั่นเป็นเด็กเนิร์ดในตัวเราทุกคนที่อยากมีส่วนร่วมในวงการดนตรี คุณต้องการเป็นส่วนหนึ่งของวัฒนธรรมนั้น และคุณต้องการที่จะเข้าใจมัน ดังนั้นคุณจึงอยากรู้ทุกซอกมุม และฉันคิดว่าการที่สามารถอ่านโน้ตและดูว่าใครเล่นบ้าง ใครร้องเป็นแบ็คกราวด์ ใครเป็นคนเขียนท่อนนี้ ฉันคิดว่านั่นเป็นวิธีหนึ่งที่จะให้ความสนใจและเข้าถึงมัน และเข้าใจว่าคุณกำลังเสพอะไรอยู่ มันเป็นตัวเชื่อมต่อที่แท้จริง
ทุกคนก็รู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนกัน และสถานที่อย่างร้านแผ่นเสียงก็มีประโยชน์มาก เพราะว่ามีสถานที่เพียงไม่กี่แห่งที่เรารู้สึกเท่ตอนเด็กๆ และรู้สึกปลอดภัย เราไม่ได้เป็นเด็กที่เจ๋งที่สุดในโรงเรียนใช่ไหม? แต่คุณไปที่ร้านแผ่นเสียงแล้วเห็นเด็กที่โตกว่า ที่อยากเล่าให้คุณฟังเกี่ยวกับดนตรีเจ๋งๆ และในช่วงต้นทศวรรษ 2000 นั่นมีความหมายบางอย่างจริงๆ นั่นทำให้คุณรู้สึกเหมือนเป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้นจริงๆ
TAYLOR YORK: ร้านแผ่นเสียงอิสระมีความสำคัญอย่างยิ่งสำหรับผมมาก และผมคิดว่าผมตระหนักเรื่องนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ในตอนผมอายุมากขึ้นและพวกเขากลายเป็นกลุ่มคนที่กำลังจะประสบปัญหา สมัยตอนผมเป็นวัยรุ่น ผมมักจะไปร้านแผ่นเสียงโดยที่ไม่รู้ว่าอยากได้อัลบั้มเพลงอะไร แค่ได้พลิกดูของอัลบั้มของศิลปินที่เขียนด้วยลายมือ ชมปกอัลบั้มในแบบที่ศิลปินตั้งใจให้ผู้อื่นเห็น ฟังเพลงโดยใช้หูฟังขนาดใหญ่สำหรับอัลบั้มเด่นในสัปดาห์นั้น แม้จะรู้สึกแย่ที่อัลบั้มโปรดของคุณ จากวงดนตรีบางวงขายหมดอยู่เสมอ… ทุกสิ่งทุกอย่างให้ความรู้สึกเป็นส่วนตัวและเป็นมนุษย์มาก ในขณะเดียวกันก็ให้ความรู้สึกมหัศจรรย์ด้วย ประสบการณ์นี้ทำให้อัลบั้มเพลงรู้สึกมีคุณค่ามากขึ้น การเลื่อนดูบริการสตรีมมิ่งไม่ค่อยมีผลแบบเดียวกัน
จริงๆแล้ว ตอนนี้ผมฟังเพลงน้อยลงเพราะการสตรีมไม่ได้ให้ความรู้สึกโรแมนติก การสตรีมภาพยนตร์ออกใหม่ที่คุณรอคอยไม่ได้ให้ความรู้สึกเดียวกับประสบการณ์ในการซื้อของที่จับต้องได้และได้แกะห่อออกเอง ผมคิดว่าผมยังรู้สึกสับสนกับจำนวนเพลงหรือหนังที่มีบนสตรีมมิ่ง เช่น เรารู้สึกหงุดหงิดเมื่อมีบางอย่างดันไม่มีในบริการสตรีม เรารู้สึกถึงสิทธินี้ที่จะต้องมีทุกสิ่งตลอดเวลา บางครั้งมันก็มากเกินไป ผมคิดถึงสมัยที่มีหนังสือซีดีใต้เบาะหน้าในรถอย่าง ผมผมคิดถึงการโดนจำกัดด้วยตัวเลือกของคนฟังเอง
เฮย์ลีย์ คุณบอกว่าแผ่นเสียงแผ่นแรกของคุณคือ Full Collapse แซค ของคุณคืออะไร?
HW: โอ้ ฉันก็อยากรู้เหมือนกัน
ZF: ผมกำลังพยายามนึก… ผมจำได้ว่าซีดีแผ่นแรกที่ผมเคยซื้อคือ ( ) โดย Sigur Rós ที่ Best Buy ตอนที่ผมอายุ 10 หรือ 11 ขวบ และผมก็แบบว่า “สิบแปดเหรียญเหรอ! ผมโดนหลอก!” แต่ไวนิลผมจำไม่ได้ ต่อมาผมย้ายออกจากบ้าน และไปอยู่บ้านของตัวเอง และผมก็คิดว่า “โอ้ ผมควรจะซื้อเครื่องเล่นไวนิล คงจะเจ๋งดี” มันน่าจะเป็น… ไม่แน่ใจ อาจจะเป็นเพลงของ Beatles
HW: แซคมีคอลเลกชั่นแผ่นเสียงที่ผสมผสานได้ดีเลย เพราะเขาชอบที่จะฟังเพลงเก่าๆ เช่น เวิลด์มิวสิคหรือแอฟโฟรฟังก์ แทบจะทุกครั้งที่คุณไปบ้านของเค้ากับเคย์ล่า มันเหมือนกับว่า… คุณเข้าสู่กระแสน้ำวนที่ให้ความรู้สึกเหมือนอยู่อีกโลกหนึ่ง เพราะ… ที่บ้านของฉันหรือบ้านเทย์เลอร์ ไม่ได้เปิดเพลงตลอดเวลา เราชอบแบบนั้นนะ แต่คุณไม่สามารถไปที่บ้านของแซคโดยที่ไม่มีเพลงเล่นอยู่ได้ ฉันคิดว่าครั้งแรกที่ฉันได้ยินแผ่นเสียงของ Fela [Kuti]
น่าจะอยู่ที่บ้านของนาย เทย์เลอร์เองก็มีคอลเลกชั่นไวนิลสุดเท่เหมือนกัน เขามักเล่นเพลง D’Angelo เสมอ – อัลบั้ม Black Messiah
ZF: อัลบั้มนั้นดีมากเลย
HW: มันดีจริงๆนะ
คอลเลกชั่นไหนที่มีค่าที่สุดในของคุณ?
HW: ฉันมีแผ่นรอบหมุน 45 rpm นี่… มันเป็นแผ่นที่ได้มาหลังจากพาราฮอยครั้งแรก! [ล่องเรือ] ซึ่งช่วงนั้นชีวิตค่อนข้างตะกุกตะกัก เพื่อนของเรา mewithoutYou มาร่วมเล่นในทัวร์นี้ และพวกเขาให้แผ่นเสียงขนาด 7 นิ้วซึ่งเป็นแผ่นเสียงแรกๆของพวกเขามาให้ฉัน พร้อมด้วยโน้ตจาก [นักร้องนำ] Aaron [Weiss] ที่เป็น Sharpie สีทองซึ่งฉันแทบจะอ่านไม่ออก มันพิเศษสำหรับฉันจริงๆ ฉันคิดว่าฉันซื้อ rerelease ของ Radiohead OK Computer OKNOTOK มาสามชุด มันพิเศษสำหรับฉันจริงๆ เพราะฉันรัก Radiohead ตอนที่เรายังเป็นวัยรุ่น และต่อมาในช่วงยี่สิบ ฉันบอกตัวเองว่าฉันไม่ชอบที่พวกเขาเปลี่ยนไป ฉันคิดว่าฉันกำลังพยายามเป็นคนที่แตกต่างไม่เหมือนใคร หลังจากนั้นฉันก็จำได้ว่าส่งข้อความให้กับเทย์เลอร์ ในปี 2016 ว่า “ฉันขอโทษจริงๆ คุณพูดถูก ฉันชอบพวกเขามาก”
ZF: เพื่อนสนิทของเรา Scotty [Cleary] ซึ่งเป็นคนออกแบบปกอัลบั้ม After Laughter ของเรา เล่นเพลงอัลบั้ม Et moi, et moi, et moi ของ Jacques Dutronc ให้เราฟัง และเราก็ชอบมันมาก เป็นอัลบั้มตั้งแต่ปี 1966 และผมมีแผ่นต้นฉบับ เป็นเพลงภาษาฝรั่งเศส… มันเป็นหนึ่งในอัลบั้มโปรดของผม ผมชอบที่จะปิดท้ายเซ็ตดีเจของผมด้วอัลบั้มนี้
Scott ไปเจออัลบั้มนี้ในร้านแห่งหนึ่งในนิวยอร์ก ราคาประมาณ 60 ดอลลาร์ ซึ่งถูกมาก และตอนนี้ราคาขึ้นไปอยู่ประมาณ 300 ดอลลาร์ มันหายากมากนะ ถ้าผมต้องเก็บแผ่นหนึ่งแผ่นสำหรับไปอยู่เกาะร้างหรืออะไรสักอย่าง ผมจะเอาแผ่นนั้นไปด้วย
HW: นั่นคือสิ่งที่ฉันกำลังพูดเลย! คอลเลกชันของเขามันลึกซึ้ง เจ๋งมาก
ZF: ผมคิดว่าผมมี Ram อัลบั้มต้นฉบับของ Paul McCartney เหมือนกัน ซึ่งเป็นหนึ่งใน
อัลบั้มโปรดของผม
TY: สำหรับผมน่าจะเป็น Finally We Are No One โดย Múm ผมนอนฟังมันหลับไปทุกคืนเป็นเวลากว่าหนึ่งปีสมัยเรียนไฮสคูล มันขายหมดเกลี้ยงช่วงหนึ่งหลังจากผมเริ่มสะสมแผ่นเสียง
เมื่อมาถึงยุคซีดี อะไรทำให้คุณก้าวไปสู่การสร้างคอลเลกชั่นแผ่นเสียง?
ZF: ผมอิจฉาคนที่มีแผ่นเสียงประมาณ 4,000 แผ่น [แผ่นเสียง] และมีห้องสำหรับมันโดยเฉพาะ สักวันหนึ่งผมก็อยากทำแบบนั้นนะ การมีเข็มจริงเล่นอยู่ เสียงก็ดีกว่าดิจิตอลมาก มันน่าทึ่งมากสำหรับผม คุณภาพเพียงอย่างเดียวอาจเป็นเหตุผลเพียงพอที่จะซื้อไวนิล ผมเป็นคนใจอ่อนมาก เวลาที่ได้เห็นอะไรที่ยิ่งใหญ่ เหมือนเวลาเราเห็นสิ่งต่าๆ บนโทรศัพท์และเป็นงานศิลปะที่ยอดเยี่ยมก็จริง แต่เมื่อคุณสามารถถือมันได้จริงๆ มันเจ๋งมากที่ได้ถืออะไรสักอย่างเช่นหนังสือ และการสัมผัสมันและอ่านในขณะที่คุณกำลังฟังมันไปด้วย ประสบการณ์ทั้งหมดนั้นสวยงามจริงๆ
HW: ฉันรู้ว่าการมีห้องสำหรับแผ่นเสียงเป็นยังไง เพราะในอดีตของฉัน ฉันเคยแต่งงานกับคนที่มี [แผ่นเสียง] มากมาย แล้วเมื่อเลิกกัน ฉันเอาของออกมาน้อยมาก ฉันย้ายเข้ามาอยู่ในบ้านที่สมบูรณ์แบบที่สุด ประหนึ่งมันมีค้างคาวอาศัยอยู่เต็มไปหมด และฉันนำของออกมาเพียงไม่กี่อย่างเท่านั้น
ฉันมีแผ่นเสียงของ Rufus และ Chaka Khan และมีแผ่นเสียง Talking Heads แค่เพลงฟังก์ที่ฉันรู้ทำให้ฉันรู้สึกเหมือนเป็นตัวเอง การออกมาจากการใช้ชีวิตอยู่ในที่สะสมสิ่งต่างๆมากมาย เทียบกับ มีเพียงสิ่งที่คุณต้องการเท่านั้น ที่มันพิเศษสำหรับคุณจริงๆ ฉันคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ที่ดีสำหรับฉัน เพราะตอนนี้เมื่อฉันดูแผ่นเสียงที่ฉันมี มันก็ไม่ได้มากมายนัก แต่มัน
เป็นสิ่งที่ซาบซึ้งจริงๆ มันพาฉันกลับไปหาบางสิ่งบางอย่างในอดีต มันทำให้ฉันนึกถึงค่ำคืนกับเพื่อนๆ ในวันเกิดของฉัน หรือค่ำคืนที่ฉันแกะกล่องในบ้านใหม่ของฉัน และรู้สึกถึงความรู้สึกเสรีอย่างแท้จริง อะไรเป็นของฉัน และอะไรที่ทำให้ฉันรู้สึกดี และนั่นเป็นอีกเหตุผลที่ฉันรวมแผ่นเสียง และการสร้างประสบการณ์สัมผัสนั้นของคุณเองก็สำคัญมาก
มันเป็นประสบการณ์ที่สำคัญมากสำหรับทุกคนที่รักดนตรี เพราะความทรงจำที่คุณสร้างขึ้นมันเจ๋งจริงๆ ไม่มีอะไรจะโรแมนติกไปกว่าการได้อยู่บ้านคนเดียวและดื่มด่ำไปกับตัวเอง ด้วยเครื่องดื่มที่ชอบสักแก้ว แล้วเล่นแผ่นเสียงเก่าๆ ที่คุณรู้ว่ามีความหมาย
เพียงแค่คุณได้อยู่กับสิ่งนั้น และอยู่ในปัจจุบันกับมัน และอย่างที่เราพูดไปก่อนหน้านี้ว่าให้ความสนใจกับมัน ฉันคิดว่านั่นคือสิ่งที่ทำให้ฉันตื่นเต้นที่มีเครื่องเล่นแผ่นเสียงอยู่ในบ้านของฉันและยืมลำโพงเก่าๆ ของพ่อที่ดูเท่และเก๋าและจังหวะดี ฉันชอบแบบนั้น มันรู้สึกดีมาก
เมื่อพูดถึง Talking Heads คุณได้ทำแผ่นเสียงกับ David Byrne ซึ่งเขาคัฟเวอร์เพลง “Hard Times” และคุณคัฟเวอร์ “Burning Down the House” การที่ไม่เพียงแต่ร่วมทำเพลงกับ David Byrne แต่ให้เขาคัฟเวอร์เพลงของคุณด้วย มีความหมายต่อคุณอย่างไร?
HW: เพื่อน ครั้งแรกที่เราได้ยินเดโมของเค้า — เหมือนก่อนที่เขาจะไปที่ Electric Lady และบันทึกเสียง — มันฟังดูเหมือนเป็นเพลงแรกๆของ Talking Heads มันแค่… ไม่มีใครมีซาวด์เหมือน David Byrne อยู่แล้ว แต่เมื่อมันเป็นดนตรีทำนองของเรา และท่อนเล็กๆ ที่เขารวมไว้ หรือและแม้แต่ท่อนที่เขาละ มันสื่อออกมาได้มากมายเกี่ยวกับวิธีการที่เขาสร้างสรรค์ สิ่งที่เขาได้ยิน และจุดที่เขาเห็นคุณค่า และครั้งแรกที่เราได้ฟังเวอร์ชันเต็มที่มีทั้งแตรและเสียงของต่างๆ มันช่างเหลือเชื่อจริงๆ
ฉันฟังเพลง Talking Heads ตลอดช่วงวัยรุ่นตอนปลายและช่วงต้นๆ วัยยี่สิบ — โดยเฉพาะเมื่อตอนที่ fun. ทัวร์กับเรา Jack [Antonoff] มักจะเล่นเพลงแปลกๆให้ฉันฟังเสมอ ซึ่งเขารู้ว่าฉันน่าจะไม่เคยได้ยิน — แต่การได้มีช่วงเวลาแห่งการค้นพบของฉันกับพวกเขา และเหตุผลที่ว่าทำไมมันเชื่อมโยงกับฉันมากในขณะที่เราทำอัลบั้ม After Laughter เหมือนกับฉัน
จะเผลอหลับไปพร้อมกับอัลบั้ม Stop Making Sense ทุกคืน และเห็นสิ่งต่างๆ ในแต่ละคืนต่างกันไป เราไม่ได้พบกับฮีโร่ของเรามากนัก เราไม่ใช่วงดนตรีที่อยู่ในทุกงาน เราไม่ได้ทำทุกอย่างและจับมือกับทุกคน บางทีเมื่อเราอายุมากขึ้น เราก็อาจจะแค่ประมาณว่า “ได้สิ ทำไมจะไม่ได้” แค่ใส่ทักซิโด้แล้วไปงานปาร์ตี้นี้ แต่เราไม่ได้ทำแบบนั้นบ่อยนัก ดังนั้นความจริงที่ว่า [David Byrne] มาหาพวกเราที่ Madison Square Garden ด้วยจักรยานแสนน่ารักของเขา และ เห็นได้ชัดว่าชอบการแสดงของเรา ที่ทำให้เกิดบทสนทนา เราไม่อยากเชื่อเลย เขาส่งอีเมลถึงฉันเมื่อเช้านี้ — เช้านี้ฉันได้รับอีเมลจริงๆจากเดวิด เบิร์น เขาแสดงความยินดีกับเราในเรื่องบางอย่าง แล้วมันก็จบอีเมล์ลงด้วยภาพที่ตลกมาก ที่เขาคงเพิ่งถ่ายตอนเดินกลับบ้านหรืออะไรสักอย่าง ไม่รู้สิ บางทีเขาอาจจะเห็นมันในอินเทอร์เน็ตก็ได้
ZF: อินสตาแกรมของเขาเต็มไปด้วยภาพแปลกๆ คลุมเครือมาก… น่าทึ่งมากกับภาพถ่ายของเขา ผมไม่รู้ว่าเขาเจอมันหรือถ่ายเอง แต่มันเหลือเชื่อมาก เธอได้รับข้อความส่วนตัว
HW: ฉันได้ภาพถ่ายแบบส่วนตัวมา และฉันส่งกลับรูปกระดาษชำระลายดอกกุหลาบให้เขา… อธิบายยากนะ แต่มันเป็นหนึ่งในกรณีเหล่านั้นที่ประมาณว่า “โอเคได้ เราสามารถเจอกับฮีโร่ของเราได้ บางครั้งมันก็ไม่เป็นไร เราไม่ควรกลัว” นี่คือคนที่มีอิทธิพลอย่างมากต่อวิถีทางของวงดนตรีของเรา และทำให้เราตื่นเต้นอีกครั้งว่าเราจะไปได้ไกลแค่ไหนในการเรียนรู้ คุณรู้ไหม 15 ปีแรกในอาชีพของเรา มันประมาณว่า “โอ้… ใช่แล้ว เราชอบจังหวะมาก จริงๆ แล้วเราชอบจังหวะมาตลอด และนี่คือวงดนตรีที่มีวงดนตรีสดครึ่งหนึ่งจากวง Parliament-Funkadelic” นั่นคือการเริ่มต้นใหม่สำหรับเรา
ZF: การอยู่ในวัยสามสิบกลางๆ เป็นเรื่องที่น่ายินดีจริงๆ และยังพูดได้ว่า “โอ้ เรามาถึงจุดนี้แล้ว บางทีเราอาจจะเป็นแบบนั้นสำหรับใครบางคนได้เช่นกัน เมื่อเราอายุเท่าเขา” มันทำให้เรารู้สึกเหมือนเป็นเด็กอีกครั้งในวิธีที่ดีที่สุด ความตื่นเต้นในช่วงแรกที่เราได้รับจากดนตรี เมื่อเราได้ยินมัน… มีช่วงเวลาสั้นๆ ที่จะพาคุณกลับไปที่นั่นอีกครั้ง เพราะเราเอาแต่โฟกัสทำงาน และเล่นโชว์ต่างๆ อยู่เสมอ มันปลุกเราขึ้นมาอีกครั้งด้วยวิธีที่ยอดเยี่ยมจริงๆ
อัลบั้มที่ปล่อยใน Record Store Day อีกชิ้นของคุณคืออัลบั้มรีมิกซ์ This Is Why ช่วยอธิบายเกี่ยวกับวิธีที่คุณเลือกศิลปินที่มาทำเพลงในนั้นและ คุณหวังว่าผู้คนจะได้อะไรจากอัลบั้มแบบนี้?
HW: แนวคิดคือการดึงเอาผู้คนมารวมกันโดยเป็นกลุ่มคนที่เราได้รับแรงบันดาลใจจากพวกเขา หรือเรามีเรื่องราวด้วย หรือพวกเขาได้รับแรงบันดาลใจจากวงดนตรีของเราในทางใดทางหนึ่ง — ฉันเริ่มคิดถึงเรื่องนั้นมากขึ้นเมื่อฉันสร้าง [อัลบั้มเดี่ยวของฉันในปี 2020] Petals for Armor และฉันต้องการแสดงอิทธิพลที่ฉันได้รับและคิดว่าคนฟังคงไม่คาดหวัง ความฝันของฉันตอนนั้นคืออยากให้ Missy Elliott รีมิกซ์อะไรบางอย่างจาก Petals for Armor และนั่นคือจุดเริ่มต้นของแนวคิดอย่างแท้จริง
บทสนทนานั้นก็หายไปและจากนั้น… พูดตามตรงนะ เราไม่อยากเขียนหรือบันทึกเพลงเพิ่มเติมจากอัลบั้มแล้ว เรารู้สึกตื่นเต้นมากที่ This Is Why จะเป็นอัลบั้มสุดท้ายใต้สัญญาค่ายของเรา มันเหมือนกับว่า อะไรก็ตามที่นอกเหนือไปจากนั้น เราอยากจะเป็นเจ้าของมัน ดังนั้นบทสนทนาก็กลับมาประมาณว่า “เอาล่ะ แล้วคนที่มีอิทธิพลทั้งหมดของเราล่ะ แล้วคนที่เราไปทัวร์ด้วยที่เรารักจริงๆล่ะ และคนที่เราไม่เคยร่วมงานด้วยเลย?” นั่นจึงวนกลับมาที่ไอเดียนี้อีกครั้ง
ความคิดนี้ — เราได้คุยกับ Missy แล้ว! เราคุยกับเธอทางโทรศัพท์ นั่นก็คืออีกช่วงเวลาหนึ่งที่เราไม่อยากเชื่อ แต่มันก็ไม่ได้เกิดขึ้นในที่สุด เพราะฉันมั่นใจว่าเธอยังคงยุ่งอยู่ แต่เรามีเพื่อนและคนเหล่านี้ที่เราชื่นชมมากๆ แล้วก็มีวงดนตรีอย่าง The Linda Lindas ที่ยังคงกระตือรือร้นและตื่นเต้น และพวกเขาก็ทำให้เรานึกถึงตัวเราเองในรูปแบบต่างๆมากมาย แถมยังฉลาดกว่า และพวกเขาก็พังค์กว่าเรามากด้วย พวกเขาทั้งหมดจะเรียนจบด้วยการไปโรงเรียนจริงๆ เราแค่ทำวงอยู่ในรถตู้ สำหรับเราแล้ว พวกเขามีแนวโน้มและแนวทาง ว่าวงการดนตรีจะเป็นอย่างไรเมื่อก้าวไปข้างหน้า คนหนุ่มสาวควรให้ความสำคัญกับวงดนตรีอย่างจริงจัง และ
เรารู้ว่า มันรู้สึกอย่างไรที่คนอื่นดูถูกเราเพราะอายุของเรา หรือเพียงเพราะฉันยังเป็นเด็กผู้หญิงตัวเล็กๆที่นำวงดนตรี และมันสำคัญมากสำหรับเราที่จะต้องพยายามที่จะทุ่มเทให้กับวงดนตรีแบบพวกเขา และยกระดับคนที่เรารักและเชื่อในสิ่งนั้นจริงๆ นั่นคือสิ่งที่อัลบั้มนี้พยายามสื่อ
คือเชื่อในตัวใครก็ตามที่เชื่อในตัวเราอย่างยิ่งใหญ่ และมันก็สนุกที่จะแบ่งปันแบบนั้น
ฉันยังคงรู้สึกอินมากกับเพลง “Crave” เวอร์ชันของ Claud อยู่มาก มันเจ็บปวดมาก พวกเขาทำอะไรบางอย่างกับเพลงนั้น… ฉันคิดว่าพวกเขาเข้าถึงเนื้อเพลงจากมุมที่แตกต่างจากฉัน และฉันก็สนุกกับมันมาก แล้วก็ “Thick Skull” เวอร์ชัน Julian Baker มันทำลายล้างมาก — ทุกอย่างที่ Julien ทำ มันบีบคั้นหัวใจ มันเป็นเพียงโปรเจ็กต์ที่พิเศษจริงๆสำหรับเรา และแตกต่างไปจากงานอื่นๆที่ผ่านมา
Hayley ในเดือนสิงหาคมคุณโพสต์ว่า Paramore กลับมาเขียนเพลงอีกครั้งแล้ว คุณสามารถแชร์อะไรได้บ้างในตอนนี้เกี่ยวกับเพลงใหม่?
HW: เหมือนกับทุกครั้ง สิ่งที่เรานำเสนอต่อไป เราหวังว่าจะทำให้ผู้คนประหลาดใจและทำให้พวกเขาต้อง “โอ้! ไม่คิดว่ามันจะเป็นแบบนี้” นั่นก็คือสิ่งที่เราหวังอยู่เสมอ
เราก็แค่สนุกกับมัน สิ่งที่ดีที่สุดสำหรับเราคือตอนที่มันดูน่ากลัว เพราะตอนนั้นเราคงจะคิดว่า โอ้ เรายังไม่ได้ทำมัน หรือเรายังไม่เคยรู้สึกถึงความรู้สึกนี้เลย เรายังคงแค่ลองจิ้มๆแตะๆเข้าสู่สิ่งนั้นอยู่ เราไม่ได้ลงแรงหนักอะไรมาก แต่เรากำลังทำมันอยู่ และรู้สึกดีมาก รู้สึกดีมากที่ไม่รู้ว่าจะเป็นอย่างไร เพราะนี่เป็นครั้งแรกอีกครั้ง เนื่องจากเราได้เป็นอิสระเหมือนเด็กอีกครั้งจริงๆ
- Paramore ขึ้นโชว์งาน iHeartRadio Music Festival 2024 - September 21, 2024
- Paramore เผยกำลังทำอัลบั้มใหม่ต่อจาก This Is Why - September 15, 2024
- เฮย์ลีย์กับ The Only Exception ที่ไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป - September 14, 2024