เราอยู่ที่ไหนกันตอนนี้? ช่วยเล่าเรื่องราวของบ้านหลังนี้ให้ฟังหน่อย?
ฉันได้บ้านหลังนี้มาทันทีหลังจากสัญญากับทางค่ายจบลง ฉันรู้สึกว่า ฉันจำเป็นต้องมีสถานที่สำหรับใส่พลังงานลงไป—ที่ซึ่งสามารถเก็บดนตรี และรองรับผู้คนเวลาพวกเขาต้องการที่พักพิง บางที ที่นี่อาจเป็นบ้านในรูปแบบที่ฉันไม่เคยมีมาก่อน เป็นบ้านที่มีพร้อมจะเปิดประตูต้อนรับ ตอนที่ฉันเจอบ้านนี้ พลังของมันรู้สึกเป็นชุมชนมาก และฉันรู้สึกตื่นเต้น เหมือนตอนที่สมาชิกวง American Football ช่วยกันซื้อบ้านหลังเดิมกลับคืนมา แล้วมันก็กลายเป็นโครงการของชุมชน ฉันคิดว่าสิ่งสำคัญมากสำหรับศิลปินคือการรู้สึกว่าได้รับการสนับสนุนจากศิลปินคนอื่น หากที่นี่สามารถเติบโตเป็นอะไรแบบนั้นได้ นั่นคงเป็นเป้าหมายสูงสุด แต่ฉันก็เปิดรับอย่างอื่นด้วย ต้องรอดูว่าจะพัฒนาไปอย่างไร

ความคิดเรื่อง “ศิลปินอยู่ร่วมกันแบบเป็นชุมชน” หรือบ้านลักษณะอย่าง Dischord House เป็นสิ่งที่คุณอยากทำมานานแล้วหรือเปล่า? หรือรู้สึกว่าเพิ่งมาถึงจุดนี้?
น่าจะทั้งสองอย่าง ฉันไม่แน่ใจว่าตอนนั้นจะคิดว่ามันเป็นไปได้ หรือเป็นความจริงได้แค่ไหน แต่ฉันคิดว่าฉันให้คุณค่ากับแนวคิดของ “ครอบครัวที่เราเลือกเอง” มาตลอด คนที่รวมตัวกันด้วยสิ่งที่ถนัด สิ่งที่รัก สิ่งที่ทำให้พวกเขามีเป้าหมายในชีวิต แนวคิดนี้อยู่ในหัวฉันมาตั้งแต่เด็ก ตั้งแต่พ่อแม่แยกทางกัน ทุกอย่างกลับไปที่ความต้องการจะรักษาครอบครัวไว้ให้ใกล้กัน
คำว่า “ครอบครัวที่เลือกเอง” สำหรับคุณ เปลี่ยนความหมายไปเรื่อย ๆ ใช่ไหม บางครั้งก็เป็น Paramore และบางครั้งก็เปลี่ยนรูปไป?
วงของฉันก็คือครอบครัวที่ฉันเลือกเอง มันคือยานพาหนะ—รถตู้—ที่ทุกคนก้าวขึ้นไปด้วยกัน และเราออกเดินทาง เรียนรู้บทเรียนที่ต้องเรียนรู้ทั้งหมด ตอนนี้มันรู้สึกเหมือนว่า เมื่อคุณนำเป้าหมายของคุณไปวางไว้ข้างๆอีกคน หรือสิ่งที่คุณหลงใหล มันจะมีความหมายมากกว่าการเป็นแค่ส่วนประกอบแต่ละส่วนรวมกัน

ปีนี้คุณดูเหมือนคุณได้ใช้ชีวิตแบบนั้นจริง ๆ จากจำนวนงานคอลแลบและการขึ้นเวทีร่วมกับศิลปินต่าง ๆ คุณเปิดกว้างมากขึ้นหรือพยายามเข้าหาคนอื่นมากขึ้น?
ฉันเปิดใจมากขึ้นกว่าที่เคยเป็นมา เวลาที่ฉันเผชิญภาวะอารมณ์หนักหรือความสูญเสีย ฉันมักจะทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้ ซึ่งดีและไม่ดีในเวลาเดียวกัน แต่ครั้งนี้มันกลับรู้สึกดีกว่าทุกครั้งที่ฉันเคยถมตัวเองลงในงาน ฉันยังเรียนรู้ในช่วงโปรโมตอัลบั้มนี้ว่าฉันต้องปรับ และ เลือกดูแลตัวเองให้มากขึ้น ให้เว้นพักมากขึ้น แต่การออกไปดูโชว์ สนับสนุนเพื่อน ร้องเพลงบนเวทีกับพวกเขา หรือเข้าห้องอัดกับพวกเขา สิ่งเหล่านี้ช่วยเยียวยาฉันมาก
สิ่งที่ฉันทำปีนี้กับเพื่อนๆ จริงๆ แล้วเริ่มต้นตั้งแต่ช่วงนี้ของปีที่แล้ว ฉันไป LA ไปพักกับ Dan และ Elise และนั่นเป็นจุดเริ่มต้นของการคิดเรื่องการทำเพลงอีกครั้ง ฉันยังไม่แน่ใจว่าจะเริ่มอย่างไร แล้ว David Byrne ติดต่อมาหา ขอให้ฉันช่วยเขียนเพลงให้หนัง The Twits ตอนนั้นฉันรู้สึกหลงทางมาก ไม่รู้ว่าจะทำอะไร ฉันทำงานตั้งแต่เด็ก แล้วฉันควรจะหยุดทุกอย่างไหม? ไม่ทำงาน ไม่ทำอะไรที่ต้องเผชิญหน้าสาธารณะเลยไหม? แต่เมื่อ David Byrne—ฮีโร่ของคุณ—ติดต่อมาจากที่ไหนก็ไม่รู้เพื่อเสนองานให้คุณ… มันรู้สึกเหมือนจักรวาลดึงฉันไปทางนั้น ถ้าฉันไม่รับงานนั้น ฉันไม่รู้เลยว่าปีที่ผ่านมาจะเป็นยังไง มันให้ความกล้าฉันเยอะมาก ทำให้ฉันคิดว่า “ฉันควรจะลองตอบตกลงให้มากขึ้น ออกจากบ้านให้บ่อยขึ้น” และมันเป็นปีที่ยอดเยี่ยม การไปดูโชว์ทำให้ฉันอิ่มใจมาก แม้ฉันแค่ยืนดูอยู่ด้านหลัง รู้สึกเหมือนเป็นแค่คนธรรมดา มันก็ช่วยเยียวยามาก

นั่นจริงมาก สิ่งหนึ่งที่ฉันรักเกี่ยวกับการดูโชว์ และแยกตัวเองออกจากความคิดว่า ‘นี่คืองาน’ ก็คือการเห็นแฟนเพลงมีส่วนร่วม—ร้องตาม มันเหมือนเป็นพิธีกรรมทางจิตวิญญาณ
ใช่เลย ฉันใช้คำว่า “พิธีกรรม” กับสิ่งนี้บ่อยมาก ฉันคิดว่ามันเป็นประสบการณ์ทางจิตวิญญาณที่สุดในชีวิตฉัน—ทั้งที่ฉันเติบโตในโบสถ์ด้วยซ้ำ มันเชื่อมโยงกัน และมีวิทยาศาสตร์รองรับว่าคลื่นเสียงดีต่อร่างกายแค่ไหน การได้สัมผัสมันร่วมกับคนอื่นยิ่งดีเข้าไปอีก มันเปลี่ยนบรรยากาศรอบตัว ถ้าคุณถามฉัน ฉันคิดว่าฉันจะไม่มีวันเบื่อการดูโชว์ แต่บางช่วงชีวิต ฉันเหมือนสูญเสียบางส่วนของตัวเองไป—อาจเพราะงานที่เราทำ ฉันอาจจะหมดไฟ แต่ปีนี้กลับรู้สึกสุขภาพดีขึ้น เหมือนกำลังยืนได้มั่นคงขึ้น บางทีเป็นเพราะฉันอายุมากขึ้นก็ได้ ไม่รู้เหมือนกัน แต่ฉันสนุกมาก
คุณว่าคุณได้เรียนรู้อะไรจาก David Byrne มากที่สุด?
เขาเป็นคนอยากรู้อยากเห็นมาก—ทั้งเสียงบนถนนตอนขี่จักรยานกลางคืน หรือวัฒนธรรมต่างๆ ตอนฉันศึกษาประวัติ Talking Heads ลึกขึ้นช่วงทำ After Laughter ฉันอ่านเจอว่าเขาได้รับอิทธิพลจากการอัดเสียงของนักเทศน์คนหนึ่งที่พูดแบบกึ่งโกรธกึ่งเทศนา และเขาเอาวิธีนั้นไปใช้ใน Once in a Lifetime นั่นเป็นแรงบันดาลใจให้ฉันส่งเสียงในเพลง “Hard Times” สิ่งนี้สรุปง่าย ๆ ว่าเขา “สนใจ” และ “ยังสนใจโลก” อยู่เสมอ สนใจสิ่งที่ไม่รู้ นั่นเป็นท่าทีที่ถ่อมตัวมาก และฉันได้เรียนรู้เยอะในปีนี้
โดยเฉพาะการเป็นคนอายุน้อยที่สุดในห้องเสมอ ฉันต้องทำเหมือนรู้ทุกอย่างตลอดเวลา นิสัยนั้นมันติดลึกเข้าไปในเส้นเลือด มันทำให้การเปิดใจ กลายเป็นเรื่องยาก ฉันไม่อยากอ่อนแอหรือยอมให้ตัวเองถูกเปลี่ยนแปลง แต่เขากลับพร้อมเปิดรับทุกอย่างเสมอ ฉันชอบสิ่งนั้นมาก มันทำให้ฉันตื่นเต้นกับการเป็นศิลปินที่อายุมากขึ้น ฉันหวังว่าฉันจะได้ทำอะไรเพี้ยนๆ มากขึ้น และสร้างงานมากขึ้น ฉันรักเส้นทางอาชีพของเขามาก

ในวงการพัฒนาตนเองก็มีแนวคิดแบบนี้—พลังสูงสุดคือการยอมรับว่า “ฉันไม่รู้”
มันมีเนื้อเพลงของ Operation Ivy ที่ว่า “All I know is that I don’t know nothing” ตอนฉันอายุราว 19 ฉันชอบเพลงนั้นมาก เพราะฉันชอบเวลาที่คนยอมรับว่าตัวเองไม่รู้ ฉันชอบมากเวลาคุณถามอะไรฉัน แล้วฉันตอบว่า “ฉันไม่รู้” ฉันยังทำไม่เก่ง แต่กำลังฝึกอยู่
คุณบอกว่าการร่วมงานกับ David เป็นจุดเริ่มต้นของปีนี้ คุณคิดว่าความอยากรู้อยากเห็นและการ “ไม่รู้” ส่งผลต่ออัลบั้ม EDAABP ยังไง?
มันทำให้ฉันเขียนและสร้างงาน “ตามจังหวะนั้น” เพียงเพราะอยากทำ หรือจำเป็นต้องทำงานสร้างสรรค์ โดยไม่ต้องคิดว่า “จะทำอะไรต่อกับเพลงนี้? จะออกทัวร์ไหม? จะเป็นอัลบั้มไหม?” ฉันไม่ได้ตอบคำถามเหล่านั้นเลยจนกระทั่งทุกอย่างใกล้เสร็จในสตูดิโอ นั่นทำให้หลายอย่างเสร็จแบบวินาทีสุดท้าย ฉันไม่เคยทำอัลบั้มแบบนี้เลย และ “ความไม่รู้” นั่นแหละคือเวทมนตร์ของมัน มันทำให้ทุกเพลงแตกต่าง เป็นการเดินทาง แต่ความเปิดใจคือสิ่งที่ทำให้งานมันเป็นเนื้อเดียวกัน เพลงอย่าง “Negative Self Talk” กับ “Ice in My OJ” ถึงมาอยู่ในอัลบั้มเดียวกันได้—มันสนุกมาก
มันยอดเยี่ยมมาก มันเหมือนการแสดงอารมณ์ครบทุกมิติ เสียงดนตรีส่งผลต่อจิตใจจริงๆ คุณกับ Dan ทำได้ดีมาก คุณเลือกสไตล์ตัวเองมากขึ้น ทุกอย่างเหมือนทีมรอบตัวคุณช่วยสนับสนุนให้คุณเป็นตัวเองเต็มที่
ขอบคุณมาก ฉันรู้สึกสบายๆกับสิ่งนี้มาก มันมีความหมายจริงๆ เพราะสิ่งเหล่านี้มันสร้างความสับสนในหัวเหมือนกันจากการเติบโตแบบที่ฉันเติบโตมา เป็นหนึ่งในเรื่องลำบากของฉันกับการโตมาในสายตาสาธารระ เรามีช่วงที่วงดังมาก และช่วงที่ไม่ค่อยมีใครสนใจ แต่ฉันก็รู้สึกเหมือนเผชิญปัญหาแบบนั้นเสมอ ฉันรู้สึกเสมอว่า “ได้โปรดอย่านิยามฉัน” มันอึดอัดมาก แต่เราหน้าที่การงานที่เต็มไปด้วย “eras” ที่คนมองอัลบั้มแล้วคิดว่า “นั่นคือฉันในช่วงสองสามปีนั้น และนั่นคือประสบการณ์ที่ฉันได้เรียนรู้” อัลบั้มเดียวที่ฉันไม่นิยาม และใช้เวลาตกผลึกกับมันคือ This is Why—จนเมื่อสองสัปดาห์ก่อน ฉันเพิ่งเข้าใจว่าอัลบั้มนั้นพูดเรื่องอะไร

จริงเหรอ? เล่าให้ฟังหน่อยได้ไหม
พยายามจะรวบทุกอย่างก่อนจะมาเป็นอัลบั้ม EDAABP เท่าที่จะทำได้นะ ช่วงหกเดือนสุดท้ายที่ Atlantic และหกเดือนสุดท้ายของ This is Why มันหนักมาก ไม่ใช่แค่สำหรับฉัน แต่สำหรับทุกคน ฉันรู้ว่ากำลังจะถึงจุดจบ และฉันพร้อมมาก แต่เพราะความพร้อมนั้น ฉันกลับไม่อยู่กับปัจจุบัน ฉันไม่สามารถเข้าใจจริงๆ ว่า “ฉันกำลังพูดอะไรในเพลงนี้?” “Thick Skull” เป็นเพลงโปรดที่สุดในอัลบั้มนี้เสมอ เพราะมันแสดงศักยภาพของพวกเราทุกคน แต่ฉันก็สงสัยว่า “ทำไมเพลงเศร้าแบบนี้ถึงเป็นเพลงโปรด?” มันตรงไปตรงมามาก และเป็นบทเรียนที่ฉันต้องเรียนซ้ำแล้วซ้ำอีก กับการอยู่ในวงการ ในความสัมพันธ์ ในกลุ่มเพื่อน การยืนหยัดเพื่อตัวเองมันยากมาก ฉันมองย้อนกลับไป ก็เห็นว่าฉันกำลังเรียนรู้สิ่งที่ฉันไม่ชอบในตัวเอง—อย่างเพลง “Running Out of Time”—แต่ฉันยังเก็บความโกรธไว้เยอะมาก และยังไม่ได้ปล่อยออกมา
แล้วพอมาเป็นศิลปินอิสระ ฉันทำได้ทุกอย่างตามใจ และเพลงพวกนี้ก็ออกมา เมื่อ “Showbiz” ออกมา ฉันรู้สึกเหมือนเป็นการชำระล้างครั้งสุดท้าย และคิดว่า “ขอให้ตัวเองพร้อมเดินหน้าต่อ” แต่ฉันก็ต้องเตือนตัวเองอีกครั้งว่า “อยู่กับปัจจุบันนะ อย่ากระโดดข้ามหน้าไปหาเรื่องอนาคต” ความอยากรู้อยากเห็นต้องกลับมา Björk มีประโยคที่บอกว่า การตกหลุมรักสามารถทำให้ถนนเดิมๆ กลายเป็นสถานที่ใหม่ และฉันคิดว่าเราน่าจะเจอสิ่งนี้ได้เรื่อยๆ โดยไม่ต้องพึ่งเคมีพิเศษนั้น
การกลับมานาชวิลล์บังคับฉันให้รู้สึกแบบนั้น ตอนแรกฉันคิดว่า “ฉันอยากอยู่แคลิฟอร์เนีย แต่ต้องกลับมาที่นี่ เมืองที่ฉันโตมา ความมหัศจรรย์หายไปหมด ผู้คนกำลังสูญเสียสิทธิ์ และฉันรู้สึกเหมือนอยู่หลังกำแพงศัตรู” แต่เมื่อเริ่มเห็นสิ่งที่เคยรักในเมืองนี้ มันช่วยได้ การไปดูโชว์วงท้องถิ่น ช่วยได้ การเข้าใจการเมืองในพื้นที่ ก็ช่วยได้ สิ่งเหล่านี้ทำให้ฉันหยุดตัวเองจากการมองอนาคตไกลเกินไป

ว้าว พูดได้ดีมาก ฉันสังเกตเห็นว่ามีข้อสังเกตหลายอย่างในอัลบั้ม This is Why ที่พาไปสู่อัลบั้มใหม่ ทั้งเพลง “C’est Comme Ça” และ “Thick Skull”
ดีจังที่มีคนสังเกต ฉันนึกว่าฉันคิดไปเอง
ไม่เลย เนื้อเพลงของคุณมักหมุนรอบมอทิฟเดิม—น้ำ ความรู้สึก แต่ช่วงหลังลงลึกถึงอารมณ์ ความโกรธ ความขัดแย้งภายใน คุณเคยบอกฉันเมื่อครั้งสัมภาษณ์ This is Why ว่านั่นเป็นครั้งแรกที่คุณเขียนอะไรที่ออกการเมืองชัดมาก มันรู้สึกเหมือนคุณกำลังมาถึงจุดนี้อยู่แล้ว ฉันสนใจเรื่องที่คุณกลับมาแนชวิลล์ด้วย
มันยากมาก ครั้งสุดท้ายที่ฉันอยู่ LA ฉันคิดว่า “นี่คือตัวฉันที่พยายามกลับไปหาคนที่ฉันรู้ว่าไม่ดีสำหรับฉัน” นั่นคือความรู้สึกของการอยู่ที่ LA ฉันคงทำงานที่นั่นบ่อย แต่ความต้องประกาศว่า LA เป็น “บ้าน” อาจเป็นเพราะฉันอยากมีตัวตนแยกจากอดีตของฉัน แต่มันไม่ใช่บ้านจริงๆ ฉันรู้สึกได้ ส่วนแนชวิลล์คือบ้าน ฉันก็เปิดโอกาสให้ตัวเองมองหาที่อื่นนะ ถ้าโลกจะล่มสลายไปเรื่อยๆ แต่ฉันคิดว่าสถานที่อย่างแนชวิลล์ยังต้องการ “คนท้องถิ่น” อยู่ เพื่อสร้างชุมชนและร่วมพัฒนามัน

คุณพูดถึง “อยู่หลังกำแพงศัตรู” ฉันเดาว่านั่นคือสถานที่ที่คุณอาจรู้สึกว่าคุณมีเสียงที่จำเป็นมากกว่าใน LA?
ใช่ ฉันคิดเรื่องนั้นเยอะมากตอนทัวร์ This is Why ฉันพูดอะไรบนเวที แล้วคิดว่า “คนที่นี่ส่วนใหญ่คงเห็นด้วยกับฉันอยู่แล้ว” ถ้ามันจะไปถึงคนที่ไม่เห็นด้วย ก็อาจเป็นจากคลิปในโซเชียลที่ส่งต่อๆกัน แต่ในเวลาเดียวกัน ฉันเหนื่อยกับการพูดเรื่องเดิมมาตลอด พอกลับมาที่นี่แล้วรู้ว่านี่คือบ้าน ฉันอยากทำงานในทางปฏิบัติมากกว่า อยากลงมือ อยากเจอผู้คนจริงๆ ฉันคิดว่าความเหนื่อยล้าจากอินเทอร์เน็ตและโซเชียลมีเดีย… ตอนนี้ฉันเตรียมใจจะเลิกใช้มันแล้ว ทีมงานคงไม่ปลื้ม แต่ฉันไม่แน่ใจว่ามันทำสิ่งที่เราต้องการจริงๆ หรือเปล่า ด้านแอ็กทิวิสต์ ฉันสนใจสิ่งที่ “ลงมือทำได้จริง” มากกว่า “พูดบนเวทีให้คนที่เห็นด้วยอยู่แล้วฟัง”—แต่ความเป็นน้ำหนึ่งใจเดียวกันก็สำคัญเช่นกัน
แล้วตอนนี้คุณทำอะไรอยู่บ้าง หรืออยากเข้าไปมีส่วนร่วมอะไร?
ฉันสนใจเรื่อง “ความเป็นธรรมด้านอาหาร” มาก หลังจากร่วมงานกับทีมสนับสนุนด้านอาหารหลายปี และรู้สึกว่าพวกเขาเข้าใจประเด็นนี้รอบด้าน ตัวแทนรัฐ Justin Jones ที่นี่ก็กำลังทำงานที่เกี่ยวกับเกษตรกรรม เขาพูดบางอย่างกับฉันเกี่ยวกับการทำงานด้านเกษตรในรัฐนี้ และมันเหมือนมีอะไรสะกิดใจฉัน ฉันยังไม่อยู่บ้านนานพอที่จะลงลึก แต่ฉันตื่นเต้นที่จะเรียนรู้ ส่วนอีกอย่าง ฉันอยากชี้ให้ผู้คนไปสนับสนุนโชว์หรือเวทีท้องถิ่น และนั่นคือเหตุผลที่ฉันอยากเล่นเวทีเล็กๆ Jack White กับ André 3000 ก็พูดใน Rock & Roll Hall of Fame ว่า “สิ่งยิ่งใหญ่เริ่มในห้องเล็กๆ” ฉันคิดว่าถ้าฉันสามารถพาคนรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเก่าที่มีทรัพยากรกลับมามีส่วนร่วมได้ นั่นคือการสร้างชุมชนผ่านดนตรี ประเด็นพวกนี้ตามติดฉันเสมอ แน่นอน ประเด็นเหยียดเชื้อชาติก็สำคัญมาก มันเกี่ยวพันกับทุกเรื่อง สุขภาพจิต ฯลฯ ทั้งหมดเป็นเมล็ดที่ถูกหว่าน ฉันไม่สนใจจะเป็นศิลปินที่ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ ฉันสนใจใช้ชีวิตจริงในฐานะศิลปินมากกว่า และถามว่า “ฉันทำอะไรให้ชุมชนของฉันดีขึ้นได้จริงบ้าง?”
I don’t really care about becoming a bigger and bigger artist. I care about trying to figure out how to live a real life as an artist, and the rest is like, “What can I do in person to make my community cooler?”

แม้แต่เรื่องที่คุณพูดเกี่ยวกับบ้านหลังนี้ก็เป็นส่วนหนึ่งของสิ่งนั้น มันถูกพูดถึงไปก่อนหน้านี้แล้ว แต่ฉันอยากจะพูดถึงเรื่องทัวร์ คุณรู้สึกตื่นเต้นกับมันมากกว่าปกติไหม?
ใช่ ฉันรู้สึกแบบนั้น หมายถึง ฉันไม่แน่ใจว่ามันเป็นเพราะฉันรู้สึกประหม่ามากด้วยหรือเปล่า และมันก็เหมือนกับมีความกระวนกระวายใจอยู่ในตัวตลอดเวลา แต่ฉันตื่นเต้นที่จะได้เล่นดนตรีสดอีกครั้ง ฉันตื่นเต้นที่จะรู้สึกเหมือนได้ร่วมมือกันตลอดเวลา — และบางทีเพลงพวกนั้นอาจจะพัฒนาไปเรื่อยๆ ตลอดทัวร์เราไม่มีทางรู้เลยจริงๆ แต่ที่นี่คือที่ที่ฉันจะได้เป็นศิลปิน ความแตกต่างที่ทำให้ฉันทั้งประหม่าทั้งตื่นเต้นคือฉันจะไม่อยากปรากฏตัวในฐานะคนที่ยืนนำวง Paramore ฉันอยากจะปรากฏตัวในแบบที่เป็นตัวเองมากขึ้น จะออกมาเป็นแบบไหนก็ไม่รู้ และฉันคิดว่าเครื่องหมายคำถามนี่แหละที่ทำให้ฉันประหม่า — มันจะรู้สึกยังไงกันนะ?
The difference for me that I’m nervous but I’m excited about is I don’t really want to show up as the person that fronts Paramore
อีกอย่างคือการสร้างความมั่นใจในการเล่นดนตรีทุกๆวัน การเล่นกีตาร์ ยืนขึ้น ร้องเพลงอยู่หลังไมโครโฟนแบบนี้มันต่างจากวิธีที่ฉันเติบโตมากับการแสดงโดยสิ้นเชิง ครั้งสุดท้ายที่ฉันเล่นกีตาร์กับ Paramore พวกเรานั่งบนสตูลด้วยกันและเล่น ส่วนใหญ่ในอาชีพของฉันคือการปล่อยพลังงานทั้งหมดออกไปข้างนอก แต่ตอนนี้ฉันอยากดึงพลังงานกลับเข้ามา หวังว่าคนที่มาดูโชว์จะโอเคกับการให้ฉันได้มองพวกเขาเต้นและสนุกกัน ฉันรู้สึกว่ามันจะยังเป็นปาร์ตี้อยู่ดี แต่สิ่งที่ฉันท้าทายตัวเองคือการไม่ “แสดง” (หัวเราะ)… ถ้าอัลบั้มนี้ไม่ใช่อัลบั้มที่ทำให้ฉันเรียนรู้ว่าการหยุดเอาใจคนอื่นมันรู้สึกยังไง ฉันก็ไม่รู้แล้วว่ามีอะไรจะช่วยฉันได้อีก…
ส่วนหนึ่งของฉันจะมีความสุขมากถ้าแค่ได้ร้องเพลงในบาร์แล้วกลับบ้านทุกคืน ซึ่งมันก็เป็นเรื่องอุดมคติอยู่เหมือนกัน และการที่ฉันสามารถพูดแบบนี้ได้ก็เพราะฉันมีอภิสิทธิ์เยอะมาก แต่ว่าฉันชอบชีวิตแบบโรแมนติก และบางครั้งฉันก็กังวลว่า ตอนอยู่กับ Paramore ฉันจะคิดแบบว่า “แล้วเราจะทำอะไรได้อีกวะ?” แบบว่าจริงๆ แล้ววงมันโตขึ้นเรื่อยๆ และฉันก็ไม่รู้จะทำยังไงกับมัน มันรู้สึกกดดันไหม? ก็ทั้งใช่และไม่ใช่แหละ มันน่าตื่นเต้นเพราะคุณอยากทิ้งรอยเท้าไว้ว่า เราเปิดรับทุกคน และมันเป็นช่วงเวลาที่ดี แต่ฉันก็ไม่รู้เหมือนกัน สำหรับงานดนตรีของฉัน ฉันพูดอย่างตรงไปตรงมาว่า “ฉันอยากให้มันเป็นอัลบั้มเดี่ยวสุดท้ายของ Hayley Williams” ฉันไม่ได้สนใจจะเห็นชื่อตัวเองอยู่บนป้ายไฟอีกแล้ว ฉันสนใจสิ่งที่เกิดขึ้นเบื้องหลังมากกว่า แม้แต่กับศิลปินคนอื่นๆ การได้สร้างสรรค์ในแบบนั้น และได้ช่วยในแบบนั้น ยังมีอีกมากที่สามารถทำได้ และยังมีความพึงพอใจอีกมากที่เกิดขึ้นเบื้องหลังแสงไฟทั้งหลาย.
“I would like this to be the last Hayley Williams album.” I’m not really interested in continuing to see my name in lights.

มันทำให้ฉันนึกถึงเรื่องที่คุณย้ายออกจากลอสแอนเจลิส กลับไปแนชวิลล์ พยายาม—อย่างที่คุณบอก—ลงมือทำอะไรจริง ๆ และมีส่วนร่วมกับชุมชน นั่นไม่ใช่การทำให้โลกของคุณแคบลง แต่บางทีอาจเป็นเหมือนการอยู่ในโลกจริงๆ มากกว่าการอยู่ในโลกของตัวเอง
ใช่เลย คุณพูดได้ดีมาก ฉันรู้สึกว่าช่วงนี้ฉันได้ใช้เวลาข้างนอกตัวเองมากที่สุดตั้งแต่อายุยี่สิบต้นๆ และฉันคิดว่ามันมาจากการออกไปร้องบนเวทีกับเพื่อนๆ นั่นไม่ใช่การเดินทางเพื่อทำงานสำหรับฉันเลย มันเหมือนฉันได้ปล่อยเวอร์ชันวัยรุ่นของตัวเองออกมา เวอร์ชันที่ชอบไปดูโชว์ดนตรีมากๆ เมื่อต้นปีนี้ฉันใช้ Substack ฉันลงรูปถ่ายที่บังเอิญเจอ เป็นรูปตอนอายุประมาณ 14 หรือ 15 ตอนค่ายคริสตจักร แล้วฉันก็คิดว่า “ปีนี้ฉันจะทำอะไรเพื่อเด็กคนนั้น — เพราะน่าจะเป็นปีสุดท้ายที่ชีวิตของคนคนนี้ยังปกติอยู่” การไปดูโชว์และการออกไปใช้ชีวิตข้างนอกทั้งหมดนั้น มันช่วยเติมพลังให้การทำงาน และทำให้การทำงานรู้สึก…เหมือนมันช่วยลดความเจ็บปวดของวันที่งานมันหนักหนา
มีอะไรบางอย่างเกี่ยวกับคำว่า “inner child” ที่ทำให้ฉันรู้สึกพะอืดพะอม แต่ฉันก็รู้สึกว่าการไปดูโชว์คือช่วงเวลาที่ฉันรู้สึกใกล้ชิดกับตัวเองตอนเด็กที่สุด มันดูเหมือนว่ามีหลายช่วงเวลาที่คุณได้ตระหนักรู้ตัวเองมากขึ้น สำหรับฉัน การผ่านความเจ็บปวดมากๆ มักจะเป็นหนทางที่พาเราไปถึงจุดนั้น
ความเศร้าสูญเสียสอนเราในแบบที่ไม่มีอะไรสอนได้

ความเจ็บปวดเป็นแรงผลักดันที่ยิ่งใหญ่ที่สุด
ใช่ มันเป็นแบบนั้น และความโกรธก็ด้วย น่าเสียดายสำหรับฉัน เพราะฉันเป็นคนที่เวลาเจ็บปวดมากๆ หรือเมื่ออะไรก็ตามไปแตะต้องความรู้สึกถูกทอดทิ้งที่อยู่ในร่างกาย ความโกรธมักจะออกมาก่อนเสมอ เพราะมันพยายามจะปกป้องฉัน ทั้งที่ฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะปกป้องตัวเองอย่างไร นั่นเป็นเหตุผลว่าทำไมฉันถึงร้องเพลงเกี่ยวกับการอยากเรียนรู้ว่าความอ่อนโยนนั้นหมายความว่าอะไร ฉันไม่คิดว่ามันเป็นเรื่องง่าย และคนจำนวนมากพูดอะไรแบบนี้ในพอดแคสต์จนมันเริ่มไม่เหลือความหมาย แต่สำหรับฉัน มันเป็นบทเรียนที่ยาวนานมากจนฉันคิดว่า “เมื่อไหร่ฉันจะไปถึงจุดจบของมันสักที?”
เพราะความโกรธก็ยังทำให้เกิดช่วงเวลาที่ดีที่สุดในชีวิตฉันด้วยเหมือนกัน ช่วงเวลาที่ฉันมีแรงผลักดันมากพอที่จะทำบางอย่างที่ฉันคิดว่าสามารถสร้างความเปลี่ยนแปลงได้ ไม่ว่าจะเป็นการเคลื่อนไหวทางสังคม หรือแม้แต่การเขียนเพลงให้ตัวเอง เพื่อความเศร้า ความเจ็บปวด ความโกรธ ทุกอย่างเหล่านั้น แต่ฉันต้องหาทางลงไปให้ถึงความเปราะบางที่อยู่ลึกลงไปใต้ทั้งหมดนั้นก่อน ฉันเองก็อยากไปถึงตรงนั้นให้เร็วขึ้น… จริงๆ แล้ว ฉันจะให้เครดิตตัวเองนะ ฉันคิดว่าอัลบั้มนี้คงจะฟังดูแตกต่างออกไปมาก ถ้าฉันไม่ได้เรียนรู้ที่จะมองลึกลงไปใต้ความโกรธ

ฉันรู้สึกว่ามันเห็นได้ชัดมากนะในฐานะผู้ฟัง หรือบางทีอาจเพราะฉันรู้จักคุณดีด้วย
ขอบคุณนะ นั่นทำให้ฉันรู้สึกได้รับการยืนยัน มันเป็นส่วนสำคัญมากของเรื่องราวในฐานะนักเขียนของฉัน เพราะผู้คนรู้จักฉันในแบบ… มีภาพฉันถือไมโครโฟนอยู่ แล้วทำหน้าดุ ถ้าคุณไปเปิด wiki มันก็คงเป็นภาพนั้นแหละ และนั่นก็ยังเป็นเพราะการเป็นผู้หญิงด้วย คุณแสดงอารมณ์อะไรก็ไม่ได้โดยที่มันจะไม่ถูกมองว่าเกินเหตุ — แต่รู้ไหม? ทุกครั้งที่ฉันมีช่วงเวลาที่เปิดเผยตัวเองมากๆ ผ่านความโกรธ ไม่ว่าจะเป็นใน Brand New Eyes หรืออัลบั้มเดี่ยวแรกของฉัน มันเปลี่ยนเคมีของสิ่งที่เกิดขึ้นในตอนนั้นจริงๆ
ถ้าไม่มีความโกรธนั้น ฉันไม่รู้ว่า Paramore จะทำอย่างไรระหว่างช่วง Brand New Eyes ถ้าฉันไม่สามารถเขียนมันออกมาและผ่านมันไปได้ และที่สำคัญคือพวกเรายังได้พูดคุยกันจริงๆ เกี่ยวกับมันด้วย มันคือแรงดึงและแรงผลักในการเรียนรู้คุณค่าของความโกรธ และการเรียนรู้ที่จะไม่อับอายกับมัน — แล้วก็ยังต้องเรียนรู้ที่จะก้าวผ่านมันไปด้วย หวังว่าจะทำได้เร็วขึ้นนะ
และเหมือนกับว่าคุณกำลังเรียนรู้ที่จะใช้มันด้วย
มันก็คล้ายกับเวลาที่คุณต้องเรียนรู้วิธีใช้พลังพิเศษนั่นแหละ ถ้าคุณเกิดมาพร้อมซูเปอร์พาวเวอร์ สมมติว่าเป็นแบบนั้น คุณก็ไม่ได้รู้วิธีใช้มันทันทีตั้งแต่แรก ต้องใช้เวลา และ—กลับมาที่สิ่งที่เราพูดกันเรื่องความอยากรู้อยากเห็นและการเปิดใจ—มันคือการยอมให้ชีวิตค่อยๆ สอนคุณไปเรื่อยๆ ฉันยังคิดว่าฉันไม่เข้าใจอย่างถ่องแท้ว่าความโกรธ ความหลงใหล และความหลงใหลต่อความอยุติธรรมทั้งหมดนั้นมันฝังรากลึกมาจากไหนหรือทำไมมันถึงใหญ่ขนาดนี้ แต่ฉันก็ไม่ได้ปิดกั้นมันเหมือนกัน

ฉันขอพูดอะไรหน่อยนะ เราเคยคุยกันมาก่อนเกี่ยวกับความรู้สึกอึดอัดของคุณเวลาต้องพูดถึงตัวเอง เพราะคุณคุ้นชินกับการพูดว่า “วง” หรือพูดในมุมมองของ Paramore ในฐานะหน่วยเดียวกัน ฉันว่าคุณทำได้ดีมากในวันนี้
โอ้พระเจ้า มันยากจริงๆนะ คือฉันพูดในสัมภาษณ์มาไม่รู้กี่ครั้งแล้วว่า “พวกเราหยุดพักกันเพื่อแยกตัวตนของเราออกจากวงให้ได้” ไอ้เรื่องบ้าๆ นั่นมันสิงฉันไปแล้ว ฉันต้องการทำพิธีไล่ผีแบบด่วนจี๋เลย
ฉันอยากจะสามารถมองตัวเองในกระจกเวลาอยู่ร้านอาหาร ล้างมือ โดยไม่คิดว่า “อันนี้จะกลายเป็นรูปในอินเทอร์เน็ตทีหลังไหมนะ” แล้วถึงแม้มันจะไม่เกี่ยวกับอินเทอร์เน็ตก็ตาม… Paramore เป็นเรื่องเดียวในชีวิตฉันตั้งแต่ฉันอายุ 13 ปี คิดดู มันบ้ามากนะ แต่ก็เป็นของขวัญชิ้นใหญ่เลยล่ะ คือแบบ โอ้โห ฉันรู้สึกว่าโชคดีมากที่ได้อยู่ในหนึ่งในวงโปรดของตัวเองมาตลอดทั้งชีวิต
ฉันจะไม่มีวันเลิกเป็นนักร้องของ Paramore — แต่ฉันต้องพยายามเข้าใจให้ได้ว่าฉันมีเรื่องอื่นอะไรอีกบ้างในชีวิต และชีวิตเป็นยังไงเมื่อฉันไม่ผูกทุกอย่างเข้ากับพาหนะคันนั้น ฉันคิดถึงมิวสิกวิดีโอ “Thick Skull” ตลอดเลยช่วงนี้ หยุดคิดไม่ได้จริงๆ และฉันคิดว่ามันเป็นภาพที่สมบูรณ์แบบของสิ่งที่ต้องเกิดขึ้นสำหรับฉัน ที่จะต้องพังลงมากพอ จนเปิดใจได้อีกครั้ง ฉันยังหาคำตอบนั้นไม่ได้เลยจนวันนี้
I’m never going to not be the singer of Paramore — but I really need to understand what other stories I’m about, and what life looks like when I’m not hinging everything to that vehicle.
อ่านบทความต้นฉบับที่นี่

- บทสัมภาษณ์จาก Paste Magazine ศิลปินแห่งปี Hayley Williams - December 14, 2025
- ศิลปินแห่งปีโดย Alternative Press: บทสัมภาษณ์ของ Hayley Williams - December 10, 2025
- Rolling Stone จัดงาน Musicians on Musicians concert ปี 2025 - October 26, 2025
